วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

                                รู้จักกับการจัดการข้อมูล



1. ข้อมูลคือ
 

   ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจ ข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลข ข้อความ หรือรายละเอียดซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง วีดิโอไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ  ข้อมูลเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และต้องถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วน ขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วของการเก็บข้อมูล ดังนั้นการเก็บข้อมูลจึงเป็นการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจนั่นเอง ข้อมูลจึงหมายถึงตัวแทนของข้อเท็จจริง หรือความเป็นไปของสิ่งของที่เราสนใจ

    ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เราสนใจศึกษา จำแนกได้ดังนี้
ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่ใช้แสดงปริมาณของสิ่งต่างๆ
ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ ข้อมูลที่ใช้อธิบายลักษณะ สมบัติหรือสถานการณ์ของสิ่งต่างๆ

    ข้อมูล (data) หรือ ข้อมูลดิบ หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ก็ได้. ข้อมูลที่ดีจะต้องมีความถูกต้องแม่นยำ และเป็นปัจจุบัน เช่น ปริมาณ ระยะทาง ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์คะแนนของนักเรียน รายงาน บันทึก ฯลฯ

     ข้อมูล คือข่าวสารรายละเอียดต่าง ๆ ที่ต้องการจัดเก็บ เพื่อที่จะเรียกข้อมูลมาอ้างอิงหรือแก้ไขได้ในภายหลังตามวัตถุประสงค์ของข้อมูล  อาจจะมีทั้งชนิดที่เป็นข้อความ(Text)  ตัวเลข(Numbers)  วันที่(Dates)  หรือแม้กระทั่งรูปภาพ (Pictures)

     ข้อมูล  หมายถึง  ข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการประมวลผล  ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินงานที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วและเก็บข้อมูล  ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง  แม่นยำ  และรวดเร็วและเป็นปัจจุบัน  มีความสมบูรณ์ในระดับที่เหมาะสม  อาจมีทั้งประเภทตัวเลข ข้อความ วันที่ รูปภาพ เช่น ที่อยู่  เบอร์โทรศัพท์  คะแนนของนักเรียน เป็นต้น
      ข้อมูล หมายถึง ข้อความจริงที่อาจเป็นตัวเลขหรือข้อความก็ได้ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลโดยตรง โดยไม่มีผู้ใดเคยเก็บมาก่อน
ข้อมูลทุติยภูมิ คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลโดยตรง ได้จากผู้ที่เก็บรวบรวมไว้แล้ว



2.  data คือ

            (data) or the raw data represents facts or events that occur may be numbers, letters or symbols anywhere. The information has to be accurate. And is current as of distance, name, address, phone records, etc. The scores of students.
Refers to the characters when taken together with the one that seemed important. The value should be stored to be used in different occasions, usually described as a text message to any one thing. May be letters, numbers or other symbols that can be processed by computer.






3.  ยกตัวอย่างข้อมูล 5 ชนิด พร้อมรูป


ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บนั้นอาจจะมีรูปแบบได้หลายอย่าง รูปแบบสำคัญ ๆ ได้แก่
       3.1 ข้อมูลแบบรูปแบบ (formatted data) เป็นข้อมูลที่รวมอักขระซึ่งอาจหมายถึงตัวอักษร ตัวเลข ซึ่งเป็นรูปแบบที่แน่นอน ในแต่ละระเบียน ทุกระเบียนที่อยู่ในแฟ้มข้อมูลจะมีรูปแบบที่เหมือนกันหมด ข้อมูลที่เก็บนั้นอาจเก็บในรูปของรหัสโดยเมื่ออ่านข้อมูลออกมาอาจจะต้องนำรัหสนั้นมาตีความหมายอีกครั้ง เช่น แฟ้มข้อมูลประวัตินักศึกษา



      

 3.2 ข้อมูลแบบข้อความ (text)เป็นข้อมูลที่เป็นอักขระในแบบข้อความ ซึงอาจหมายถึงตัวอักษร ตัวเลข สมการฯ แต่ไม่รวมภาพต่าง ๆ นำมารวมกันโดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอนในแต่ละระเบียน เช่น ระบบการจัดเก็บข้อความต่าง ๆ ลักษณะการจัดเก็บแบบนี้จะไม่ต้องนำข้อมูลที่เก็บมาตีความหมายอีก ความหมายจะถูกกำหนดแล้วในข้อความ




       3.3 ข้อมูลแบบภาพลักษณ์ (images) เป็นข้อมูลที่เป็นภาพ ซึ่งอาจเป็นภาพกราฟที่ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลแบบรูปแบบรูปภาพ หรือภาพวาด คอมพิวเตอร์สามารถเก็บภาพและจัดส่งภาพเหล่านี้ไปยังคอมพิวเตอร์อื่นได้ เหมือนกับการส่งข้อความ โดยคอมพิวเตอร์จะทำการแปลงภาพเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถที่จะปรับขยายภาพและเคลื่อนย้ายภาพเหล่านั้นได้เหมือนกับข้อมูลแบบข้อความ





       3.4 ข้อมูลแบบเสียง (audio) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียง ลักษณะของการจัดเก็บก็จะเหมือนกับการจัดเก็บข้อมูลแบบภาพ คือ คอมพิวเตอร์จะทำการแปลงเสียงเหล่านี้ให้คอมพิวเตอร์สามารถนำไปเก็บได้ ตัวอย่างได้แก่ การตรวจคลื่นหัวใจ จะเก็บเสียงเต้นของหัวใจ




       3.5 ข้อมูลแบบภาพและเสียง (video) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียงและรูปภาพ ที่ถูกจัดเก็บไว้ด้วยกัน เป็นการผสมผสานรูปภาพและเสียงเข้าด้วยกัน ลักษณะของการจัดเก็บข้อมูล คอมพิวเตอร์จะทำการแปลงเสียงและรูปภาพนี้ เช่นเดียวกับข้อมูลแบบเสียงและข้อมูลแบบภาพลักษณะซึ่งจะนำมารวมเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลเดียวกัน







 4. การจัดการข้อมูล  หมายถึง

การจัดการข้อมูล หมายถึง การจัดเก็บข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูล รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการใช้งานที่รวดเร็วจึงจัดเก็บในลักษณะของฐานข้อมูล
หน่วยของข้อมูล
หน่วยของข้อมูลคอมพิวเตอร์สามารถจัดเรียงเป็นลำดับชั้น  จากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่ได้ดังนี้
–  บิต (bit)  เลขฐานสองหนึ่งหลักซึ่งมีค่าเป็น 0 หรือ 1
–  ตัวอักษร (character) กลุ่มข้อบิตสามารถแทนค่าตัวอักษรได้ ในชุดอักขระASCII 1 ไบต์ (8 บิต) แทน 1 ตัวอักษร
–  เขตข้อมูล (field) เขตข้อมูลซึ่งประกอบด้วยกลุ่มตัวอักษรที่แทนข้อเท็จจริง
–  ระเบียน (record) คือโครงสร้างข้อมูลที่แทนตัววัตถุชิ้นหนึ่ง เช่น ระเบียนนักเรียน
–  แฟ้ม  (file)  ตารางที่เป็นกลุ่มของระเบียนที่มีโครงสร้างเดียวกัน
–  ฐานข้อมูล (database) กลุ่มของตารางที่มีความสัมพันธ์กัน
 หน่วยวัดความจุของหน่วยความจำทางคอมพิวเตอร์
8              bits                          =            1              Byte                       : B
1,024      Bytes                     =             1              Kilo Byte             : KB         
1,024      KB                         =             1              Mega Byte           : MB         
1,024      MB                         =             1              Giga Byte            : GB         
1,024      GB                         =             1              Tera Byte             : TB         
หมายเหตุ     Kilo   =   210   =   1,024 
วัตถุประสงค์ในการจัดการข้อมูล
-                   การเก็บข้อมูลเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ได้ในภายหลัง
-                   การจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถเรียกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-                   การปรับปรุงข้อมูลให้มีความถูกต้องสมบูรณ์อยู่เสมอ
-                   การปกป้องข้อมูล จากการทำลาย ลักลอบใช้ หรือแก้ไขโดยมิชอบ รวมทั้งปกป้องข้อมูลจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากวินาศภัยหรือความบกพร่องภายในระบบคอมพิวเตอร์
โครงสร้างข้อมูล
การใช้คอมพิวเตอร์จัดการระบบฐานข้อมูลนั้น ข้อมูลของเอนทิตีต่างๆ จะได้รับการนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่เก็บไว้อาจได้รับการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหรือตัดออกได้ การเก็บข้อมูลจะทำการเก็บข้อมูลไว้หลายๆ เอนทิตี และเมื่อมีการเรียกใช้อาจนำเอาข้อมูลจากหลายๆ เอนทิตีนั้นมาสัมพันธ์กันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
การจัดเก็บข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ถือว่ามีประสิทธิภาพคือการใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลน้อยที่สุดและจะต้องเรียกค้นข้อมูลได้ง่าย ดังนั้นจึงมีการแบ่งเอนทิตีออกเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อใช้เรียกข้อมูลย่อยซึ่งเรียกว่า เขตข้อมูล (Field) เมื่อนำเขตข้อมูลทั้งหมดของแฟ้มมาวางเรียงกัน จะเกิดรูปแบบที่ทางคอมพิวเตอร์มองเห็นเรียกว่า ระเบียน (Record) ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงโครงสร้างงาของแฟ้มนั้นได้รวมกันในระบบฐานข้อมูลจึงประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลจำนวนหลายๆ แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กัน
 การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล
การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบต่างๆ มีลักษณะเฉพาะตัวในการเข้าถึงข้อมูล ดังนี้
-                        แฟ้มลำดับ (Sequential file) เป็นการจัดโครงสร้างแฟ้มที่ง่ายที่สุด คือ ระเบียนถูกเก็บเรียงต่อเนื่องกันไปตามลำดับของเขตข้อมูลคีย์
-                        แฟ้มสุ่ม (Direct file) ใช้แก้ปัญหาความล่าช้าในการเข้าถึงข้อมูลของแฟ้มลำดับ โดยใช้ฟังก์ชันสุ่มในเขตข้อมูลคีย์เป็นข้อมูลนำเข้าและให้ผลลัพธ์เป็นตำแหน่งที่อยู่ของระเบียน
-                        แฟ้มดรรชนี (Indexed file) คล้ายกับดรรชนีคำศัพท์ที่อยู่ท้ายเล่มหนังสือ ที่ประกอบด้วยคำต่างๆ เรียงตามตัวอักษร โดยจะเก็บค่าของเขตข้อมูลคีย์ทั้งหมดพร้อมด้วยตำแหน่งของระเบียนที่มีค่าเขตข้อมูลคีย์นั้น
-                        แฟ้มลำดับดรรชนี (Indexed sequential file) เป็นการจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่แตกต่างจากแฟ้มดรรชนี ซึ่งตัวระเบียนในแฟ้มข้อมูลไม่เรียงตามลำดับ แต่เรียงเฉพาะคีย์ในดรรชนี แฟ้มลำดับดรรชนี มีระเบียนที่เรียงลำดับตามเขตคีย์ข้อมูล และมีดรรชนีบางส่วน
 การจัดการฐานข้อมูล
ในการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีแล้วยังต้องมีชุดคำสั่ง (Software) ที่จะควบคุมการทำงานของเครื่องอีกด้วย การทำงานโดยวิธีการจัดแฟ้มซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า ระบบการจัดการกระทำแฟ้มข้อมูล (file handing system) อาจใช้โปรแกรมสำเร็จซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นแฟ้มที่มีระเบียบง่ายต่อการใช้งาน และช่วยทำให้ผู้ใช้ประมวลผลข้อมูลต่างๆ ตามความต้องการได้อย่างรวดเร็ว โปรแกรมเหล่านี้จะใช้ระบบการจัดการฐานข้อมูล หรือที่เรียกว่า ดีบีเอ็มเอส (Data Base Management System : DBMS)
ระบบฐานข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการใช้งานประจำวัน การตัดสินใจของผู้บริหารจะกระทำได้รวดเร็ว ถ้ามีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ จึงมีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศดังกล่าว แต่การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีหลักการและวิธีการที่ทำให้ระบบมีระเบียบแบบแผนที่ดี การแบ่งประเภทแฟ้ม
 ลักษณะการจัดการฐานข้อมูลที่ดี
เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา วิธีการฐานข้อมูลได้พัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นจากการออกแบบและเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลที่เดียว การจัดการฐานข้อมูลจึงมีหลักการที่สำคัญ คือ
1.  ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
2.  กำหนดมาตรฐานข้อมูล
3.  มีระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล
4.  มีความเป็นอิสระจากโปรแกรม
5.  รวมข้อมูลเป็นฐานข้อมูลกลาง




















วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

3 G

เทคโนโลยี 3G

เทคโนโลยี 3G คือ

3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูปและอินเทอร์เน็ต 3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อ เนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง แล ะ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น

ยุค 1G เป็นยุคแรกของการพัฒนาระบบโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์ การรับส่งสัญญาณใช้วิธีการมองดูเลตสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่องสื่อสารโดยใช้ การแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็ก ๆ ด้วยวิธีการนี้มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนช่องสัญญาณ และการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงติดขัดเรื่องการ ขยายจำนวนเลขหมาย และการขยายแถบความถี่ ประจวบกับระบบเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุกำหนดขนาดของเซล และความแรงของสัญญาณ เพื่อให้เข้าถึงสถานีเบสได้ ตัวเครื่องโทรศัพท์เซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่ ใช้กำลังงานไฟฟ้ามาก ในภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอล และการเข้าช่องสัญญาณแบบแบ่งเวลา โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ 1G จึงใช้เฉพาะในยุคแรกเท่านั้น

ยุค 2G เป็นยุคที่พัฒนาต่อมาโดยการเข้ารหัสสัญญาณเสียง โดยบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอล ให้มีขนาดจำนวนข้อมูลน้อยลงเหลือ เพียงประมาณ 9 กิโลบิตต่อวินาที ต่อช่องสัญญาณ การติดต่อจากสถานีลูก หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบส ใช้วิธีการสองแบบคือ TDMA คือการแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็ก ๆ และแบ่งกันใช้ ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมาก กับอีกแบบหนึ่งเป็นการแบ่ง การเข้าถึงตามการเข้ารหัส และการถอดรหัสโดยใส่แอดเดรสหมือน IP เราเรียกวิธีการนี้ว่า CDMA - Code Division Multiple Access ในยุค 2G จึงเป็นการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์แบบดิจิตอลหมดแล้ว

ยุค 2.5G การสื่อสารไร้สายยุค 2.5G ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยี ในระดับ 2G แต่มีประสิทธิ - ภาพด้อยกว่ามาตรฐาน การสื่อสารไร้สายยุค 3G โดยเทคโนโลยียุค 2.5G สามารถให้บริการรับส่งข้อมูล แบบแพคเก็ตที่ความเร็วระดับ 20 – 40 Kbps ในทางปฏิบัติ เทคโนโลยีจีพีอาร์เอสนับเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระดับ 2.5G

ยุค 3G เป็นยุคแห่งอนาคตอันใกล้ โดยสร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่าได้ และเรียกว่า Universal Mobile Telecommunication Systems (UMTS) โดยมุ่งหวังว่า การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สาย สามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย เช่น จากคอมพิวเตอร์ จากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ระบบยังคง ใช้การเข้าช่องสัญญาณเป็นแบบ CDMA ซึ่งสามารถบรรจุช่องสัญญาณเสียงได้มากกว่า แต่ใช้แบบแถบกว้าง (wideband) ในระบบนี้จึงเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า WCDMA 

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทบางบริษัทแยกการพัฒนาในรุ่น 3G เป็นแบบ CDMA เช่นกัน แต่เรียกว่า CDMA2000 กลุ่มบริษัทนี้พัฒนารากฐานมาจาก IS95 ซึ่งใช้ในสหรัฐอเมริกา และยังขยายรูปแบบเป็นการรับส่งในช่องสัญญาณที่ได้อัตราการรับส่งสูง (HDR-High Data Rate) การพัฒนาในยุคที่สาม นี้ยังต้องการความเกี่ยวโยงกับการใช้งานร่วมในเทคโนโลยีเก่าอีกด้วย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงให้ใช้งานได้ทั้งแบบ 1G และ 2G โดยเรียกรูป แบบใหม่เพื่อการส่งเป็นแพ็กเก็ตว่า GPRS – General Packet Radio Service ซึ่งส่งด้วยอัตราความเร็วตั้งแต่ 9.06, 13.4, 15.6 และ 21.4 กิโลบิตต่อวินาที โดยในการพัฒนาต่อจาก GPRS ให้เป็นระบบ 3G เรียกระบบใหม่ว่า EDGE - (Enhanced Data Rate for GSM Evolution)

เทคโนโลยีในยุคที่ 3 เรื่องความเร็วในการรับ - ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้สามารถใช้บริการ Multimedia ได้อย่าง สมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น เช่น การรับ - ส่ง File ขนาดใหญ่, การใช้บริการ Video Conference, Download เพลง, ดู TV ในลักษณะแบบ Streaming เป็นต้น สำหรับประเทศไทย ปี 2549 นี้ เป็นปีที่จะพยายามเข้าสู่ยุค 3G แต่สำหรับต่างประเทศโดย เฉพาะประเทศญี่ปุ่นได้เลยยุค 3G มาแล้ว

wifi

                                                  wifi

บางท่านอาจเรียก Wi-Fi ( อ่านว่า วาย-ฟาย ) แต่เพื่อนเรียก Wireless ( อ่านว่า วาย-เลส ) บางท่านเรียก Wireless โดนเพื่อนด่าว่าโง่ ต้องเรียก Wi-Fi เอ๊ะ แล้วมันคืออะไร ที่นี่จะอธิบายแบบง่าย ๆ ให้ฟังครับ

Wi-Fi หรือ Wireless หมายถึง เครือข่ายไร้สาย มักใช้กับระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ระบบ เครือข่ายไร้สาย ( Wireless LAN : WLAN ) หมายถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ รวมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย คอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น
ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่าน อากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทยุ (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้

การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11 เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันใน การสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ และขอบเขตของสัญญาณคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 เมตรในพื้นที่โล่งและประมาณ 30 เมตรในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั้งสิ้น
การเชื่อมต่อ เครือข่ายไร้สายมี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure การใช้งานเครือข่ายไร้สายของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย" หรือชนิดใหม่จะทำมาเป็นชนิด USB เรียกว่า Wireless USB ( รูปร่างเหมือน ThumDrive ) เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไป Access Point ของผู้ให้บริการ

สรุปก็คือ การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน ( LAN ) ที่ใช้สายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่ อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณและใช้งานได้ทุกที่ ที่มีสัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง

UploadImage
Wi-Fi ( ย่อมาจาก wireless fidelity ) ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สายภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา Wi-Fi certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่น ที่มีตรา Wi-Fi certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับอุปกรณ์ Lan ไร้สายไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันจนติดปาก

Wireless คืออะไร
Wireless คือลักษณะของการใช้งานอุปกรณ์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม แปลตรงตัวว่าไร้สาย ฉะนั้นอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ติดต่อสื่อสารกันโดยไม่ใช้สายสัญญาณถือ ว่่าอุปกรณ์นั้นเป็น Wireless เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเรียกอะไรก็เหมือนๆ กันครับไม่ผิด Wireless ก็ถูกครับ Wi-Fi ก็ถูกครับ

ลักษณะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์
Wi-Fi ได้กำหนดลักษณะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ภายในเครือข่าย WLAN ไว้ 2 ลักษณะคือโหมด Infrastructure และโหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer

โหมด Infrastructure
โดย ทั่วไปแล้วอุปกรณ์ในเครือข่าย Wi-Fi จะเชื่อมต่อกันในลักษณะของโหมด Infrastructure ซึ่งเป็นโหมดที่อนุญาตให้อุปกรณ์ภายใน WLAN สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ ในโหมด Infrastructure นี้จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 2 ประเภทได้แก่ สถานีผู้ใช้ ( Client Station ) ซึ่งก็คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ( Desktop, Laptop, หรือ PDA ต่างๆ ) ที่มีอุปกรณ์ Client Adapter เพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน Wi-Fi และสถานีแม่ข่าย ( Access Point ) ซึ่งทำหน้าที่ต่อเชื่อมสถานีผู้ใช้เข้ากับเครือข่ายอื่น ( ซึ่งโดยปกติจะเป็นเครือข่าย IEEE 802.3 Ethernet LAN ) การทำงานในโหมด Infrastructure มีพื้นฐานมาจากระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กล่าวคือสถานีผู้ใช้จะสามารถรับส่งข้อมูลโดยตรงกับสถานีแม่ข่ายที่ให้บริการ แก่สถานีผู้ใช้นั้นอยู่เท่านั้น ส่วนสถานีแม่ข่ายจะทำหน้าที่ส่งต่อ ( forward ) ข้อมูลที่ได้รับจากสถานีผู้ใช้ไปยังจุดหมายปลายทางหรือส่งต่อข้อมูลที่ได้ รับจากเครือข่ายอื่นมายังสถานีผู้ใช้

โหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer
เครือ ข่าย Wi-Fi ในโหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer เป็นเครือข่ายที่ปิดคือไม่มีสถานีแม่ข่ายและไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย อื่น บริเวณของเครือข่าย Wi-Fi ในโหมด Ad-Hoc จะถูกเรียกว่า Independent Basic Service Set ( IBSS ) ซึ่งสถานีผู้ใช้หนึ่งสามารถติดต่อสื่อสารข้อมูลกับสถานีผู้ใช้อื่นๆในเขต IBSS เดียวกันได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสถานีแม่ข่าย แต่สถานีผู้ใช้จะไม่สามารถรับส่งข้อมูลกับเครือข่ายอื่นๆได้

UploadImage

สมาร์ทโฟน

                                                       "สมาร์ทโฟน" 
เชื่อว่าหลายคนเคยได้ยินคำว่า "สมาร์ทโฟน" จากคนรอบข้างและสื่อโฆษณารอบตัวกันบ่อย แต่คำถามที่ยังสงสัยและค้างคาใจคือ "สมาร์ทโฟนคืออะไร" แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือทั่วไปอย่างไรและมีอะไรที่ทำให้ผู้คนเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า "สมาร์ทโฟน" นอกจากนั้นยังมีอีกอุปกรณ์อีกสองประเภทที่ถูกนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น นั่นคือ "แท็บเล็ต" และ "แฟบเล็ต" ทั้งสองคำแม้จะมีชื่อเรียกที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีทั้งส่วนที่คล้ายและส่วนที่ต่างกันโดยมีรายละเอียดดังนี้
สมาร์ทโฟน (SmartPhone)
สมาร์ทโฟนคือโทรศัพท์มือถือที่นอกเหนือจากใช้โทรออก-รับสายแล้วยังมีแอพพลิเคชั่นให้ใช้งานมากมาย สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G, Wi-Fi และสามารถใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำ เช่น LINE, Youtube, Facebook, Twitter ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งลูกเล่นการใช้งานสมาร์ทโฟนให้ตรงกับความต้องการได้มากกว่ามือถือธรรมดา ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ นิยมผลิตสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอระบบสัมผัส, ใส่กล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูง, ออกแบบดีไซน์ให้สวยงามทันสมัย, มีแอพพลิเคชั่นและลูกเล่นที่น่าสนใจ
ฟีเจอร์หลักที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟน
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีการกำหนดมาตรฐานของ "สมาร์ทโฟน" ออกมาอย่างชัดเจน แต่แนวโน้มในภาคอุตสาหกรรมตลาดมือถือก็ได้ปรับตัวเข้าหาผู้บริโภคมากขึ้นและเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนต้องการ โดยสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ในสมาร์ทโฟนนั้นได้แก่
Operating System (ระบบปฏิบัติการ)
โดยทั่วไปสมาร์ทโฟนแต่ละเครื่องจะขึ้นกับระบบปฏิบัติการที่ใช้งาน ซึ่งระบบปฏิบัติการเหล่านั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนสามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนระบบนั้นได้ เช่น iPhone ของ Apple รันระบบปฏิบัติการ iOS, สมาร์ทโฟน BlackBerry รันระบบปฏิบัติการ BlackBerry OS, สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รันระบบปฏิบัติการ Android OS, สมาร์ทโฟน Windows Phone รันระบบปฏิบัติการ Windows Phone เป็นต้น
Application (แอพพลิเคชั่น)
มือถือพื้นฐานโดยทั่วไป จะมีแอพพลิเคชั่นพื้นฐานอยู่ภายในเครื่อง ตัวอย่างเช่น สมุดรายชื่อผู้ติดต่อ, บันทึกการใช้งานโทรศัพท์, ฟังก์ชั่นรับ-ส่งข้อความ SMS เป็นต้น แต่สำหรับสมาร์ทโฟนจะมีแอพพลิเคชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้หลากหลายและครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น เช่น สมาร์ทโฟนบางรุ่นสามารถสร้าง-แก้ไขเอกสาร Office, บางรุ่นสามารถวาดเขียนลงไปบนหน้าจอพร้อมบันทึกเป็นรูปภาพ, บางรุ่นสามารถใช้เป็นเนวิเกเตอร์นำทางขณะขับขี่รถยนต์ได้
Web Access (การท่องเว็บไซต์)
การเติบโตของบริการเครือข่าย 3G และ 4G ในปัจจุบัน ช่วยให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนสามารถท่องอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงภายในไม่กี่วินาที นอกจากนี้สมาร์ทโฟนทั่วไปยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi สำหรับการท่องอินเทอร์เน็ตผ่านการเชื่อมต่อไร้สายภายในที่พักอาศัยหรือสำนักงาน
QWERTY Keyboard (แป้นพิมพ์ QWERTY)
สมาร์ทโฟนทั่วไปจะมีแป้นพิมพ์ที่จัดเรียงตัวอักษรคล้ายคลึงกับคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์ แนวโน้มของคีย์บอร์ดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันจะอยู่ในรูปแบบปุ่มสัมผัสบนหน้าจอ (touch screen keyboard) ในขณะที่สมาร์ทโฟนบางรุ่น (ส่วนน้อย) ยังคงเป็นคีย์บอร์ดแบบปุ่มกด (button keyboard)
Messaging (การส่งข้อความ)
โทรศัพท์มือถือทั่วๆ ไป สามารถรับ-ส่งข้อความตัวอักษรได้ แต่สิ่งที่แยกสมาร์ทโฟนออกจากโทรศัพท์มือถือทั่วไปก็คือ ในสมาร์ทโฟนจะมีการจัดการ e-mail ซึ่งสามารถซิงค์กับข้อมูลส่วนบุคคลและเรียกใช้งานผ่านบัญชีอีเมล์ชั้นนำ เช่น Gmail, Hotmail เป็นต้น
แนวโน้มของสมาร์ทโฟนยังคงเป็นสินค้าขายดีในตลาด โดยในปัจจุบันและอนาคตผู้ผลิตจะเน้นไปที่ความเร็วในการประมวลผล, การออกแบบหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ ความละเอียดสูงและคมชัด (สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ บางรุ่นมีขนาดหน้าจอ 5-5.4 นิ้วขึ้นไปเลยทีเดียว), การปรับปรุงคุณภาพของกล้องถ่ายรูป, การแก้ปัญหาแบตเตอรี่หมดไว, การออกแอพพลิเคชั่นหรือลูกเล่นใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
แท็บเล็ต (Tablet)
แท็บเล็ต คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ มีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป พกพาได้สะดวก สามารถใช้งานหน้าจอผ่านการสัมผัสผ่านปลายนิ้วได้โดยตรง มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะรับ-ส่งอีเมล์, เล่นอินเทอร์เน็ต, ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม หรือแม้กระทั่งใช้ทำงานเอกสารออฟฟิต ข้อดีของแท็บเล็ตคือมีหน้าจอที่กว้าง ทำให้มีพื้นที่การใช้งานเยอะ มีน้ำหนักเบา พกพาได้สะดวกกว่าโน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ สามารถจดบันทึกหรือใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้เป็นอย่างดี
แฟบเล็ต (Phablet)
แฟบเล็ต คืออุปกรณ์สมาร์ทโฟนกึ่งแท็บเล็ต ที่มีขนาดหน้าจออยู่ระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต (5.5-7 นิ้ว) ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต แต่ไม่สะดวกพกพาอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นในเวลาเดียวกัน โดย Phabletเกิดจากการผสมคำว่า "Ph + ablet" จากคำว่า "Phone" และ "Tablet" เข้าด้วยกัน นักวิจัยตลาดคาดว่าอุปกรณ์แฟบเล็ตจะกลายเป็นสินค้าที่น่าจับตามองในอนาคต โดยกระแสของ Phablet ในปี 2011-2012 ถือว่าเริ่มต้นมาได้ดี และคาดว่าในอนาคตจะมีอุปกรณ์แฟบเล็ตเข้าสู่ตลาดเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคมากขึ้น
ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแฟ็บเล็ต เป็นสินค้าไอทีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายและความสะดวกในการพกพา อย่างไรก็ตาม นอกจากรู้จักประเภทของอุปกรณ์เหล่านี้แล้วควรศึกษาข้อมูลสเปก ฟังก์ชั่นการใช้งาน และตรวจสอบรายละเอียดจากผู้จำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้อีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้งาน

ios

                                             ios
     iOS (ก่อนหน้าiPhone OS ) เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่พัฒนาและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Apple Incออกจำหน่ายในปี   2007 สำหรับiPhoneและiPod Touch ของมันได้รับการขยายเพื่อรองรับอุปกรณ์ที่แอปเปิ้ลอื่น ๆ เช่นiPadและโทรทัศน์แอปเปิ้ล
ซึ่งแตกต่างจากไมโครซอฟท์ 's Windows CE (Windows โทรศัพท์ ) และGoogle 's Android , แอปเปิ้ลไม่ได้ใบอนุญาตสำหรับการติดตั้ง iOS บนฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่แอปเปิ้ล ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2012 , แอปเปิ้ลที่ App Storeมีมากกว่า 650,000 โปรแกรม iOS ซึ่งได้รับการเรียกรวมดาวน์โหลดมากกว่า 30 ล้านครั้ง มันมีส่วนแบ่ง 16% จากมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการหน่วยที่ขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2010 หลังทั้งสองของ Google 's AndroidและNokia 's Symbian ในเดือนพฤษภาคม 2010 ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็คิดเป็น 59% ของการใช้โทรศัพท์มือถือบนเว็บของข้อมูล(รวมถึงการใช้ทั้งบนไอพอดทัชและไอแพด )
ส่วนติดต่อผู้ใช้ของ iOS ขึ้นอยู่กับแนวคิดของการจัดการตรงโดยใช้ท่าทางสัมผัสหลาย . องค์ประกอบการควบคุมการเชื่อมต่อประกอบด้วยเลื่อนสวิตช์และปุ่ม เพื่อตอบสนองผู้ใช้ป้อนเป็นได้ทันทีและให้อินเตอร์เฟซของเหลว ปฏิสัมพันธ์กับระบบปฏิบัติการรวมถึงท่าทางเช่นรูด , แตะ , หยิกและหยิกย้อนกลับซึ่งทั้งหมดนี้มีความหมายเฉพาะในบริบทของระบบปฏิบัติการ iOS และอินเตอร์เฟซแบบมัลติทัชของมัน ภายในaccelerometersถูกนำมาใช้โดยการใช้งานบางอย่างเพื่อตอบสนองต่อการสั่นของอุปกรณ์ (หนึ่งผลเหมือนกันคือคำสั่ง undo) หรือหมุนมันในสามมิติ (หนึ่งผลร่วมกันคือการเปลี่ยนจากแนวตั้งเป็นโหมดแนวนอน)
iOS มาจากOS Xกับที่มันหุ้นดาร์วินรากฐานและดังนั้นจึงเป็นUnixระบบปฏิบัติการ
ใน Ios, มีสี่เป็นชั้น abstractionหลักของระบบปฏิบัติการชั้น: Core Servicesชั้นชั้น Media, และโกโก้ Touchชั้น รุ่นปัจจุบันของระบบปฏิบัติการ (IOS 5.1.1) อุทิศ 1-1.5 GB ของหน่วยความจำแฟลชของอุปกรณ์สำหรับพาร์ติชันระบบที่ใช้ประมาณ 800 MB ของพาร์ติชันที่ (ที่แตกต่างกันไปตามรุ่น) สำหรับ iOS ตัวเอง






ระบบปฏิบัติการได้เปิดตัวกับiPhoneที่Macworld Conference & Expo , 9 มกราคม 2007 และเปิดตัวในเดือนมิถุนายนของปีที่ในตอนแรกแอปเปิ้ลวรรณกรรมการตลาดไม่ได้ระบุชื่อแยกต่างหากสำหรับระบบปฏิบัติการที่ระบุเพียง ที่ "iPhone รัน OS X" ในขั้นต้นการใช้งานของบุคคลที่สามไม่ได้รับการสนับสนุน สตีฟจ็อบส์เป็นที่ถกเถียงกันว่านักพัฒนาสามารถสร้างโปรแกรมประยุกต์บนเว็บว่า "จะทำตัวเหมือนปพลิเคชันบน iPhone พื้นเมือง" ที่ 17 ตุลาคม 2007, แอปเปิ้ลประกาศว่าซอฟท์แว Kit พื้นเมืองพัฒนา (SDK) อยู่ภายใต้การพัฒนาและการที่พวกเขา วางแผนที่จะนำมัน "อยู่ในมือนักพัฒนา 'ในเดือนกุมภาพันธ์" ที่ 6 มีนาคม 2008, แอปเปิ้ลปล่อยออกมาก่อนเบต้าพร้อมกับชื่อใหม่สำหรับระบบปฏิบัติการ: "iPhone OS"


แอปเปิ้ลได้เปิดตัว iPod touch, ซึ่งมีมากที่สุดของความสามารถที่ไม่ใช่โทรศัพท์ของ iPhone แอปเปิ้ลยังขายได้มากกว่าหนึ่งล้าน iPhones ในช่วงเทศกาลวันหยุด 2007 ที่ 27 มกราคม 2010, แอปเปิ้ลประกาศ iPad, featuring หน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPod touch และได้รับการออกแบบสำหรับการท่องเว็บการบริโภคสื่อและการอ่านiBooks .
ในเดือนมิถุนายน 2010, OS iPhone ของ Apple แบรนเป็น "iOS" เครื่องหมายการค้า "IOS" ได้ถูกใช้โดยซิสโก้มานานกว่าทศวรรษสำหรับระบบปฏิบัติการของIOSที่ใช้ในเราเตอร์ของมัน เพื่อหลีกเลี่ยงการใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นคดี, แอปเปิ้ลได้รับใบอนุญาต "IOS" เครื่องหมายการค้าจากซิสโก้

ประวัติรุ่น



แอปเปิ้ลได้รับใบอนุญาตเครื่องหมายการค้าสำหรับ "iOS" จากซิสโก้ซิสเต็มส์ (ซึ่งเป็นเจ้าของIOS ), บริษัท เดียวกันกับที่แอปเปิ้ลได้ตัดสินข้อพิพาทก่อนหน้านี้มากกว่า "iPhone" เครื่องหมายการค้า

Apple เปิดตัว iOS 4 เมื่อ June 21, 2010, สามวันก่อนiPhone 4 , ในความพยายามที่จะลดความเครียดในเซิร์ฟเวอร์ของ Apple 

iOS 4 คือรุ่นแรกของ OS ที่จะอัพเกรดฟรีใน iPod touch; แอปเปิ้ลได้ค่าบริการ 4.99 $ สำหรับการอัพเกรดก่อนหน้านี้ แอปเปิ้ลก่อนหน้านี้ประกาศว่าผู้ใช้ iPad กับซอฟต์แวร์ 3.x จะได้รับการอัพเกรดฟรีเพื่อไปปล่อย (4.x) ที่สำคัญ

iOS 4.0.1 รวมการแก้ไขเพื่อให้การรับสัญญาณบ่งชี้ที่มีความแข็งแรง (s) มันถูกปล่อยออกที่กรกฎาคม 15, 2010, แอปเปิ้ลวันก่อนที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานแถลงข่าวเพื่อหารือเกี่ยวกับการตอบสนองในการเผยแพร่อย่างกว้างขวางปัญหาเสาอากาศ iPhone แอปเปิ้ลยังปล่อย iOS 3.2.1 สำหรับiPadซึ่งเอ็นดูแท็บเล็ตของ Wi-Fi เชื่อมต่อการเล่นวิดีโอและสำเนาและวางสำหรับสิ่งที่แนบไฟล์ PDF ท่ามกลางการปรับปรุงอื่น ๆ

iOS 4.1 สำหรับiPhoneและ iPod touch ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 8 กันยายน 2010; การปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างที่รายงานโดยผู้ใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นและเพิ่มคุณสมบัติใหม่หลายประการ:
  • ศูนย์เกมซึ่งช่วยให้นักเล่นเกมที่จะเล่นหลายเกมออนไลน์, อัปโหลดคะแนนสูงและความสำเร็จปลดล็อค (แต่แอปเปิ้ลออกมาจากศูนย์เกม3G iPhoneเพราะจากรายงานผลการดำเนินงานช้า)
  • ความสามารถในการสลับการตรวจการสะกดและปิด
  • การถ่ายภาพ HDR (4 iPhone และ 4S เท่านั้น)
  • ปิงซึ่งเป็นเครือข่ายทางสังคมดนตรีและการค้นพบเครื่องมือ

iOS 4.1 การอัปเดตการตั้งค่าของผู้ให้บริการซึ่ง (ในเวลาในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าAT & T 8.0 เท่านั้น) ในเวลาเดียวกัน, ทีวีเช่ากลายเป็นโชว์ที่มีอยู่บนiTunes Store สหรัฐ .

iOS 4.2 ก็ไม่เคยปล่อยออกมา แต่แทนที่จะ iOS 4.2.1 ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2010 มันเข้ากันได้เพิ่ม iPad นอกจากนี้บน iOS 4.2.5 ได้เปิดตัวเป็นรุ่นสาธิตสำหรับCDMAรุ่นของiPhone 4 . นี้ iPhone 4 ตัวแปรได้รับการปล่อยตัวสำหรับVerizon Wirelessลูกค้าในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2011 แต่ก่อนการสั่งซื้อพร้อมใช้งานสำหรับลูกค้าที่มีคุณภาพ Verizon Wireless 3 กุมภาพันธ์ รุ่นออกมาพร้อมกับโทรศัพท์, 4.2.6, มีการเปลี่ยนแปลง UI บางเล็กน้อยเฉพาะสำหรับรุ่นของโทรศัพท์ CDMA ได้แก่ "จุดที่มีสัญญาณส่วนบุคคล" สวิทช์ในการตั้งค่า app บริการซึ่งจะต้องมีการเปิดใช้งานโดยผู้ให้บริการเพื่อให้ คุณลักษณะที่จะใช้งาน นี้กลายเป็นที่ใช้ได้สำหรับการซื้อจาก Verizon เป็นแผนแยกกันตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นไปได้ในมาร์ทโฟนอื่น ๆ

iOS 4.3 ถูกปล่อยออกมาให้ประชาชนวันที่ 9 มีนาคม, 2011, สองวันก่อน2 iPadที่มีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากคุณสมบัติก่อนหน้านี้ปล่อยสาธารณะของ iOS 4.3 รวมคุณสมบัติใหม่ ๆ เช่น Nitro JavaScript เครื่องยนต์ในSafariทำให้ Safari ทำงานได้ถึงสองครั้งที่รวดเร็วเป็นไปตามแอปเปิ้ล Sharing แรก iTunes ยังได้รับการแก้ไขที่สำคัญใน iOS 4.3; มันช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อไปยังบ้านของพวกเขาWi-Fiเครือข่ายและสตรีมเนื้อหาจากอุปกรณ์ iOS กับลำโพงทีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ หรือในทางกลับกันจุดที่มีสัญญาณส่วนบุคคลสำหรับ iPhone 4 มีคุณลักษณะใหม่ที่เป็น iPhone GSM (ออกก่อนหน้านี้ กับ iPhone Verizon CDMA) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างบริการ Wi-Fiเครือข่ายกับ iPhone 4 และจัดให้มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ถึงห้าอุปกรณ์อื่น ๆ ในVerizon Wireless , สามเมื่อAT & T นอกจากนี้ด้านข้าง ปุ่มบน iPad ขณะนี้ปรับแต่งได้ที่มีผู้ใช้สามารถที่จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเสียงระบบปิดหรือเป็นล็อคการหมุนหน้าจอ iOS 4.3 ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาสำหรับ iPhones CDMA ซึ่งอยู่บน 4.2.x รุ่นจนกว่าพวกเขาจะได้ปรับปรุง เพื่อ iOS 5 กับส่วนที่เหลือของสาย iOS เมื่อ 12 ตุลาคม 2011

iOS 5.0 และคุณลักษณะของมันถูกประกาศเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่อยู่ WWDC ปราศรัย 2011 การปรับปรุงที่ได้รับการปล่อยตัว 18:00 GMTเมื่อ 12 ตุลาคม 2011 iOS 5 นำiCloudบริการและศูนย์การแจ้งเตือนเช่นเดียวกับการปรับปรุงการปพลิเคชันพื้นเมืองเช่นกล้อง ระบบปฏิบัติการยังมีการใช้งานใหม่เช่น "เตือน" app และ "ที่แผงหนังสือ" บ้านโฟลเดอร์พิเศษของหน้าจอและหมวดหมู่ที่ App Store ที่มีปพลิเคชันหนังสือพิมพ์และนิตยสาร " iMessage"เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้ใช้ iPod touch, iPhone และ iPad ในการสื่อสารมากเช่นบริการแชทที่ใช้เฉพาะระหว่างอุปกรณ์เหล่านี้ คุณลักษณะ iMessage ได้รับการผนวกเข้ากับ "ข้อความ" แอพลิเคชันบน iPhone การประยุกต์ใช้ iPod บน iPhone และ iPad ได้รับตอนนี้แยกออกเป็นดนตรีและการประยุกต์ใช้วิดีโอเช่นเดียวกับที่มันได้เคยใน iPod touch เกี่ยวกับiPhone 4Sเสมือนผู้ช่วยที่ชื่อสิริถูกบันทึก สิริช่วยให้ผู้ใช้เพื่อพูดคุยกับ iPhone ของพวกเขา 4S และดำเนินการต่างๆให้ส่งข้อความให้สร้างการแจ้งเตือนและทำการค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ระบบปฏิบัติการใหม่นี้ยังมีการรวม Twitter อุปกรณ์ทั้งหมดในขณะนี้สามารถติดตั้งโดยไม่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ เกือบทุกระบบปพลิเคชันที่ถูกปรับปรุงด้วยคุณสมบัติใหม่หรืออินเตอร์เฟซที่ออกแบบใหม่ นอกจากนี้ยังเพิ่มการรักษาความปลอดภัยที่ปรับปรุงและแก้ไขข้อผิดพลาด ตามที่แอปเปิ้ล, OS ใหม่มีมากกว่า 200 คุณสมบัติใหม่

iOS 5.0.1 ได้รับการปล่อยตัวในพฤศจิกายน 2011 การปรับปรุงนี้รวมแล้วจำนวนของการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆและปรับปรุงความปลอดภัยการปรับปรุงยังแก้ปัญหาแบตเตอรี่กับอุปกรณ์ใหม่และข้อผิดพลาดกับiCloudบริการและ รวมมีการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ อื่น ๆ และบางวิธีการใหม่สำหรับนักพัฒนา

iOS 5.1 มีการประกาศไปพร้อมกับiPadและApple TV (รุ่น 3) ในช่วงเหตุการณ์กดพิเศษที่ Yerba Buena ศูนย์ศิลปะในซานฟรานซิสโกเมื่อ 7 มีนาคม 2012 ไม่มากจากเหตุการณ์ที่ได้ทุ่มเทเพื่อซอฟแวร์ใหม่ ปล่อยและจะถูกมองโดยทั่วไปเป็นรุ่นที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดต่อมาในวันนั้นผู้ใช้ iOS อุปกรณ์ก็สามารถที่จะอัพเกรดระบบปฏิบัติการใหม่คุณสมบัติใหม่รวมถึงการสนับสนุนสิริในภาษาญี่ปุ่นเช่นเดียวกับ ความสามารถในการลบภาพถ่ายจากภาพ Streamเมื่ออุปกรณ์ iOS  iPad ยังได้รับแอพพลิเคกล้องที่ออกแบบใหม่แบบ over-the-air จำกัด การดาวน์โหลด 3G จาก App Store เพิ่มขึ้นจาก 20 MB ถึง 50 MB 

iOS 5.1.1 ได้เปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิของ 2012การปรับปรุงนี้รวมจำนวนของการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆและปรับปรุงความปลอดภัยมันเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะสนับสนุนการเดิมiPadและรุ่นที่ 3 iPod Touch ของ . 

iOS 6 ได้ประกาศเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 ณ ของ Apple WWDC เหตุการณ์ปราศรัย 2012 มีอยู่มากกว่า 200 คุณสมบัติใหม่ใน iOS 6 ได้แก่ :
  • หน้าซอฟท์แวทำแผนที่แอปเปิ้ลใหม่ ( TomTomมากกว่าGoogle Maps ) เปิดโดยเปิดนำร่องการจราจรและสะพานลอย
  • สิริสนับสนุนiPad Generation, 3 กีฬาภาพยนตร์และร้านอาหาร
  • ของ Facebookบูรณาการ (คล้ายกับTwitterบูรณาการใน iOS 5) โพสต์โดยตรงไปยังFacebook , รายชื่อ, ปฏิทิน Apps และชอบและเพลง
  • ที่ใช้ร่วมกันภาพ Stream
  • สมุดบัญชีเงินฝาก
  • FaceTimeมากกว่าโทรศัพท์มือถือ
  • สิ่งอำนวยความสะดวก App โทรศัพท์ใหม่
  • การเปลี่ยนแปลงใน App จดหมาย
  • iCloud แท็บใน Safari
  • สิ่งอำนวยความสะดวก Accessablity ใหม่
  • ร้านค้า Remodeled (iTunes, App Store และ iBooks)
  • คุณลักษณะใหม่สำหรับประเทศจีน
อินเตอร์เฟซใหม่นี้เป็นเพราะจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงของ 2012



window aero

                                  Windows Aero 


ใช้ได้กับ Windows Vista

Windows Aero คือประสบการณ์ในการแสดงภาพที่เยี่ยมยอดของ Windows Vista มีคุณลักษณะพิเศษด้านการออกแบบที่เป็นเหมือนแก้วโปร่งใส มีการเคลื่อนไหวของหน้าต่างอย่างละเอียดอ่อน และมีหน้าต่างสีสันใหม่ๆ



รูปภาพของเดสก์ท็อป
Windows Aero มีคุณลักษณะหน้าต่างเหมือนแก้วเพื่อการมองเห็นแบบเปิด
ลักษณะที่มองเห็นอันโดดเด่นของ Aero เป็นการรวมลักษณะที่ปรากฏของหน้าต่างที่เบาและโปร่งใสเข้ากับความล้ำหน้าของกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วย Aero คุณสามารถเพลิดเพลินกับลักษณะพิเศษและลักษณะที่ปรากฏที่ดึงดูดสายตา อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการเข้าถึงโปรแกรมของคุณที่ดีขึ้นด้วย

ลักษณะพิเศษที่เหมือนแก้ว




รูปภาพของหน้าต่างที่โปร่งใส
หน้าต่างแก้วที่โปร่งใสทำให้เกิดความลึกบนเดสก์ท็อป
หนึ่งในคุณลักษณะที่เห็นเด่นชัดกว่าของ Aero คือ ขอบหน้าต่างแก้ว ซึ่งช่วยให้คุณใส่ใจกับเนื้อหาของหน้าต่างที่เปิดอยู่ ลักษณะการทำงานของหน้าต่างก็ได้รับการออกแบบใหม่ด้วย โดยมีการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนพร้อมกับการย่อหน้าต่างเล็กสุด การขยายหน้าต่างใหญ่สุด และการย้ายตำแหน่งหน้าต่าง เพื่อให้ดูราบเรียบขึ้น และเหมือนไม่ต้องออกแรง



รูปภาพของสีกรอบหน้าต่าง
ปรับสีอ่อนแก่ของหน้าต่างของคุณโดยใช้สีที่มีให้ หรือผสมสีที่กำหนดเองด้วยตัวคุณ
คุณยังสามารถทำการปรับอย่างละเอียดได้ทั้งสีและลักษณะที่ปรากฏของหน้าต่าง เมนู ''เริ่ม" และแถบงาน โดยการปรับสีอ่อนแก่ของหน้าต่างที่โปร่งใสของคุณ เลือกสีใดสีหนึ่งที่มีให้ หรือสร้างสีที่กำหนดเองด้วยตัวคุณโดยใช้ตัวผสมสี

การสลับไปมาระหว่างโปรแกรม




รูปภาพของลักษณะพิเศษ Flip 3D
Windows Flip 3D
ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ Windows Aero คือ Windows Flip 3D ซึ่งเป็นวิธีการจัดเรียงหน้าต่างที่เปิดไว้เป็นกองซ้อนแบบสามมิติที่คุณสามารถพลิกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคลิก แถบงาน



รูปภาพของตัวอย่างรูปขนาดย่อบนแถบงาน
การชี้ไปที่ปุ่มแถบงานของหน้าต่างจะแสดงตัวอย่างของหน้าต่างนั้น
นอกจากนี้ Aero ยังมีการแสดงตัวอย่างแถบงานสำหรับหน้าต่างที่คุณเปิดไว้ด้วย เมื่อคุณชี้ไปที่ ปุ่มแถบงาน คุณจะเห็นการแสดงตัวอย่างของหน้าต่างในแบบรูปขนาดย่อ ไม่ว่าเนื้อหาของหน้าต่างจะเป็นเอกสาร รูปถ่าย หรือแม้แต่วิดีโอที่เล่นอยู่ก็ตาม



รูปภาพของตัวสลับโปรแกรม ALT+TAB
การสลับหน้าต่างโดยใช้แป้น ALT+TAB
แม้แต่วิธีการกดแป้น ALT+TAB เพื่อสลับหน้าต่างก็ยังได้รับการปรับปรุง แทนที่คุณจะเห็นไอคอนธรรมดา คุณจะเห็นตัวอย่างหน้าต่างแบบสดของแต่ละโปรแกรมที่เปิดอยู่

ฉันจะใช้งาน Windows Aero ได้อย่างไร

เปิด 'ศูนย์การต้อนรับ' โดยการคลิกปุ่ม เริ่มรูปภาพของปุ่ม 'เริ่ม'คลิก Control Panel คลิก ระบบและการบำรุงรักษา แล้วคลิก ศูนย์ต้อนรับ